■ ระบบไหลเวียนเลือดของร่างกาย -: (*)(*)
(วิธีเลือกใช้ยาหัวใจ)
เกิดจากหัวใจทำหน้าที่ ปรับเพิ่มแรงบีบตัว
ของกล้ามเนื้อหัวใจให้สมดลกับ
แรงดันเลือดในหัวใจห้องล่างซ้าย
เพื่อบีบให้เลือดออกจากหัวใจ
เข้าสู่ระบบไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ
● ระบบไหลเวียนเลือด และการทำงานของหัวใจ มีดังนี้ -:
1.อัตราการไหล = pressure/resistance
การไหลของเลือดจะผ่านหลอดเลือดแดงฝอย
(arteriole) ไปเลี้ยงเนื้อเยื้อต่างๆทั่วร่างกาย
อย่างเพียงพอ ขึ้นกับ 2 ปัจจัย
1.1 ความแตกต่างระหว่าง ความดันเลือดแดง
(arterial blood pressure) และ
ความดันเลือดดํา (venous pressure)
1.2 แรงต้านการไหล (resistance)
โดยขึ้นกับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
ภายในของ arteriole
2. สูตร BP = CO x TPR
CO ปริมาณเลือดที่ถูกบีบออกจากหัวใจ
ใน 1 นาที (cardiac output)
TPR ผลรวมแรงต้านของหลอดเลือด
ทั้งหมดในร่างกาย
(total peripheral resistance )
3. สูตร CO = SV x HR
◆ เป็นปริมาตรของเลือดที่ถูกสูบฉีดออก
จากหัวใจห้องล่างซ้ายเข้าสู่ aorta
และออกไปสู่ระบบไหลเวียนของ
ร่างกายใน 1 นาที
◇ ค่าปกติของ cardiac output
CO : 4-8 ลิตร/นาที
👉🏿 ผลคูณระหว่าง
SV : ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ
ในแต่ละครั้ง (stroke volume ) และ
HR : อัตราการเต้นของหัวใจต่อนาที
(heart rate )
ความดันโลหิต BP = SV x HR x TPR
1. ปริมาตรของเลือดที่สูบฉีดออกมาจาก
หัวใจซึ่งสะท้อนถึงปริมาณเลือดที่มีอยู่
ในร่างกาย ถ้าเสียเลือดหรือขาดน้ำ
ปริมาณของเลือดในร่างกายจะลดลง
ความดันก็จะลดลง
2. อัตราการเต้นของหัวใจ
ถ้าหัวใจเต้นเร็วมากจะส่งผล
ให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
3. ค่าความต้านทานของหลอดเลือดแดง
ถ้าหลอดเลือดตีบจากไขมันเกาะ
ผนังเส้นเลือดหรือเส้นเลือดแข็ง
ขาดความยืดหยุ่น จะไม่สามารถ
ขยายเพื่อปรับค่าความต้านทาน
ของเส้นเลือดได้
ก็จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
● ปัจจัยที่กำหนด Stroke volume ●
1 Preload หรือ Venous return คือ
load ที่เกิดขึ้นก่อนหัวใจจะเริ่มหดตัว
(end diastolic volume : EDV)
ซึ่งหมายถึง venous filling pressure
ที่ผลักดันเลือดให้เข้าสู่หัวใจห้องบนและ
ห้องล่าง หรือคือการที่หัวใจห้องล่าง
เหยียดคลายตัวก่อนที่จะเกิดการหดตัว
◆ การเพิ่มขึ้นของปริมาณเลือดก็คือ
preload เพิ่มขึ้น โดยหัวใจจะเพิ่มแรง
การบีบตัว เนื่องจากเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ
ยึดตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลทำให้แรงหดตัวของ
กล้ามเนื้อหัวใจเพิ่มขึ้น จะเพิ่มปริมาณ
เลือดที่หัวใจบีบออกแต่ละครั้ง
(stroke volume เพิ่ม)
◆ การลดของเลือดดำที่ไหลกลับ จะเกิด
ผลตรงกันข้ามกัน คือทำให้เกิดการลดลง
ของปริมาณเลือดที่หัวใจบีบออกแต่ละครั้ง
2 Cardiac contractility หรือ
Inotropic state คือ
ความสามารถในการบีบตัวของ
กล้ามเนื้อหัวใจ เพิ่มขึ้นเมื่อมีการกระตุ้น
Sympathetic nervous system (sns)
ยาที่เพิ่ม Inotropic เช่น Digoxin,
Dopamine, Dobutamine เป็นต้น
(ความสามารถในการบีบตัวนี้ไม่เกี่ยวข้อง
กับการยึดตัวของเซลส์กล้ามเนื้อหัวใจ
ในข้อ 1.)
3 Afterload คือ
load ที่กระทำต่อหัวใจห้องล่างหลังจาก
หัวใจหดตัวซึ่งหมายถึง
ความดันเลือดแดง (arterial pressure)
หรือคือความดันที่ผนังหัวใจห้องล่างต้อง
สร้างขึ้น (ventricular wall stress)
ระหว่างบีบตัวเพื่อฉีดเลือดออกจากหัวใจ
ขึ้นกับปัจจัย 3 ข้อ
A. รัศมีภายในหัวใจห้องล่าง
B. ความหนาของผนังหัวใจห้องล่าง
C. ความดันภายในหัวใจห้องล่าง(บีบตัว)
ค่านี้ขึ้นกับแรงต้าน TPR ถ้าแรงต้านสูง
Afterload จะสูงขึ้นด้วย
After load =
(radius) x (systolic pressure) /
(wall thickness)
◆ การเพิ่มของ afterload
ทำให้ขัดขวางหัวใจห้องล่างในการบีบ
เลือดออกทำให้เกิดปริมาณเลือดที่
หัวใจบีบออกแต่ละครั้งลดลง
(sv : stroke volume ลด)
◇ การเพิ่มของ afterload
พบใน aortic stenosis และ
arterial hypertension
หรือเป็นแรงต้านการบีบตัวของหัวใจ
ถ้าเพิ่ม afterload หัวใจต้องบีบตัว
ให้ได้แรงเพิ่มขึ้น
stroke volume จะลดลง
เพราะ afterload ที่มากทำให้
กล้ามเนื้อหดสั้นทำให้บีบตัว
ไล่เลือดออกไปได้น้อย
4. สูตร SV = EDV - ESV
SV คือ ผลต่างระหว่างของ (EDV - ESV)
ในแต่ละครั้งที่หัวใจหดตัว
ค่าปกติ 95(+-)14 milliters/beat
¥ ผลต่างระหว่าง
(EDV) ปริมาณเลือดในหัวใจก่อนบีบตัว
(end diastolic volume) และ
(ESV) ปริมาณเลือดทีเหลืออยู่ใน
ventricle
หลังการบีบตัวขณะลิ้นหัวใจยังปิดอยู่
( end systolic volume )
● ปริมาณเลือดในหัวใจก่อนบีบตัว (EDV)
ขึ้นกับ left ventricular filling time
filling pressure คือ
ความสามารถยืดขยาย
ของใยกล้ามเนื้อหัวใจ
● ปริมาณเลือดที่เหลืออยู่ใน ventricle
หลังการบีบตัว (ESV) จะมากหรือน้อย
ขึ้นกับความสามารถในการหดตัว
ของกล้ามเนื้อหัวใจ (contractility)
5. Cardiac Index (CI) เป็นตัวเลขที่
คํานวณได้จากการนำค่า
cardiac output (CO)
หารด้วยค่า body surface area
ซึ่งแต่ละคนจะมีค่าแตกต่างกันโดยขึ้นกับ
สวนสูงและน้ำหนักตัว
ค่าปกติ 2.5-4.0 L/min/m2
6. Ejection Fraction (EF) เป็นสัดส่วน
(ratio) เปอร์เซ็นต์ของ
ปริมาตรเลือดที่ถูกบีบออกจากหัวใจ
ห้องล่างซ้ายในแต่ละครั้ง(SV)
กับปริมาตรเลือดในหัวใจก่อนบีบตัว
(LVEDV)
◆ ค่าปกติของ EF = 55 -100%
ซึ่งสามารถคำนวณหาค่า EF ได้จาก
สูตร EF = ( SV x 100 ) / LVEDV
เป็นดัชนีบ่งชี้สมรรถนะการบีบตัวของ
หัวใจห้องล่างซ้าย
👉🏿 ดัชนีในการพยากรณ์โรคหากค่า
A. Systolic heart failure
สาเหตุ Intropy แรงบีบอ่อนแรง
EF ต่ำกว่า 40 % systolic dyfuntion
EF 40 - 60 mid systolic dysfuntion
EF ต่ำกว่า 30 ภาวะหัวใจวายรุนแรงมาก
B. Diastolic heart failure
สาเหตุ preload น้อย
EF มากกว่า 60 %
C. เป็นทั้ง Systolic and Diastolic
7. Cardiac reserve เป็นความสามารถ
ของหัวใจในการเพิ่มการบีบตัวเพื่อขับ
เลือดออกจากหัวใจให้เพียงพอกับความ
ต้องการของร่างกาย
ในคนปกติ cardiac output สามารถ
เพิ่มได้สูงกว่า 5 เท่าของ cardiac output
ในขณะพักได้ในภาวะที่ร่างกายจำเป็น
เช่น การออกกำลังกาย
◆ ในทางตรงกันข้ามผู้ที่เป็นโรคหัวใจจะมี
cardiac reserve ในขณะพักอยู่ในระดับ
ที่ต่ำจึงทาให้หัวใจไม่สามารถทนต่อการ
ออกแรงได้ทําให้เกิดหัวใจวายได้ง่าย
● Cardiac cycle -:
เป็นรอบของกลไกการทำงานของหัวใจและ
การไหลเวียนจะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน
ทั้งหัวใจซีกซ้ายและซีกขวา
การหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจและ
ความดันที่เกิดขึ้นจะสัมพันธ์กับการ
เปลี่ยนแปลงคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เสียงหัวใจ
และการไหลของเลือดผ่าน
aorta และ pulmonary
โดยหัวใจมีหน้าที่ 2 อย่าง คือ
รับเลือดดำกลับเข้าสู่หัวใจ
และสูบฉีดเลือดแดงออกจากหัวใจ
ไปเลี้ยงเนื้อเยื้อและอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย
หัวใจมีการทำงานสลับกันระหว่าง
บีบตัวให้เลือดออกไปเลี้ยงรางกาย
(Systole)
สลับกับคลายตัวรับเลือด (Diastole)
กลับเข้าสู่หัวใจ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~
■ แนวทางต่อการเลือกยาใช้ -:
1. ผู้ป่วยที่มี CI > 2.2 L/min/m2
and PCWP ช่วง 12-20 mmHg
จัดว่าอยู่ในภาวะที่มีความเหมาะสมของ
cardiac output และ ventrivular filling pressure
ให้ยาลด preload ก็พอ
2. ผู้ป่วยที่มี CI > 2.2 L/min/m2
and PCWP > 20 mmHg
ผู้ป่วยอยู่ในภาวะ intervascular volume overload
รักษาโดยให้ยาที่ลด preload
(diuretics + - vasodilators)
3. ผู้ป่วยที่มี CI < 2.2 L/min/m2
and PCWP ช่วง > 20 mmHg
ผู้ป่วยอยู่ในภาวะ hypoperfusion
และ intervascular volume overload
รักษาโดยให้ยาที่เพิ่ม cardiac contractility หรือ
ยา vasodilators ที่มีฤทธิ์ลด afterload
และยาที่ลด preload (diuretics + - vasodilators)
4. ผู้ป่วยที่มี CI < 2.2 L/min/m2
and PCWP ช่วง 12-20 mmHg
ผู้ป่วยอยู่ในภาวะ hypoperfution
แต่ไม่มี intravsscular volume overload
รักษาโดยให้ยาที่เพิ่มcardiac contractility หรือ
ยา vasodilators ที่มีฤทธิ์ลด afterload
======================
Heart rate, contractility, and ventricular-wall tension
are the three factors that determine myocardial oxygen demand
● กลุ่มยาที่ใช้
○ ยาลด preload
◆ Diuretic : ยาขับปัสสาวะ
◇ thiazides
◇ Loop diuretic
ยาขับปัสสาวะ จะเร่งให้ไตขับน้ำ
และเกลือออกจากร่างกาย
ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลง
ซึ่งทำให้ความดันลดลง
hydrochlorothiazide chlorothiazide
furosemide
◆ vassodilators : ยาขยายหลอดเลือด
◇ ACE : ลดทั้ง preload and afterload
◇ Sodium nitroprusside :
ลดทั้ง preload and afterload
◇ nitroglycerin and Nitrates :
ลด preload > afterload
◇ Hydralazine :
ลด afterload > preload
◇ mophine (preload)
◆ ยาที่มีผลเพิ่ม cardiac contractility
เป็นยาที่ใช้มานานช่วยทำให้การบีบตัว
ของหัวใจดีขึ้น
เหมาะสำหรับผู้ที่มีหัวใจวายชนิดรุนแรง
และมีการเต้นของหัวใจผิดปกติ
◇ Digoxin
◇ Catecholamines
1 Dopamine
2 Dobutamine
◇ Phosphodiesterase inhibitors
◇ Nesirtide
■ เป้าหมาย :
● เป้าหมายความดัน < 120/80
● ภาวะหัวใจล้มเหลว : Diuretic กับ
ACE inhibitor
● ภาวะหลังกล้ามเนื้อหัวใจตาย :
เบต้า blocker หรือ ACE inhibitor
● หลอดเลือดหัวใจ : เบต้า blocker หรือ
ACE inhibitor หรือ
calcium channel blocker or diuretic
● หลอดเลือดสมองซ้ำ : Diuretic กับ
ACE inhibitor
● เบาหวาน : ACE inhibitor or ARB
● ไตวาย : ACE inhibitor or ARB
ACE inhibitor = Agiotensin
converting enzyme
ARB = Agiotensin II recepter blocker
==========================
● เป้าหมายยา :
◆ ACEIs : ลด afterload = preload
ไม่มีผลเพิ่มการเต้นของหัวใจ
เพิ่ม cardiac output ลด hypertrophy
ยาจะขยายหลอดเลือดแดงทำให้ความดัน
เลือดลดลง เลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดการ
ทำงานของหัวใจ เป็นยาขยายหลอดเลือด
โดยการป้องกันมิให้ร่างกาย ( สร้าง
Enzyme angiotensin II ซึ่งก่อให้เกิด
ปัญหา หลอดเลือดตีบ ความดันโลหิตสูง
หัวใจทำงานหนักเพิ่มขึ้น)
◆ ผลข้างเคียงที่สําคัญ :
ทําให้ความดันต่ำลง สมรรถภาพของ
ไตเสื่อมลง
ระดับโปแตสเซยมในเลือดสูงขึ้น
◇ ดังนั้นจึงไม่แนะน้ำให้ใช้
(systolic BP) ต่ำกว่า 80 มม.ปรอท
ระดับ creatinine สูงกว่า 3 มก./ดล
ระดับโปแตสเซยมมากกว่า 5.5 มิลลโมล/ลิตร
และ bilateral renal artery stenosis
■ ยาปิดกั้นกลุ่ม Beta Blockers :
◆ ลดความดันโลหิตสูง
ทำให้ความดันโลหิตลดลง หัวใจเต้นช้าลง
◆ รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ทำให้หลอดเลือดหัวใจขยาย
เลือดไปเลี้ยงหัวใจเพิ่มมากขึ้น
◆ รักษาหัวใจวาย และป้องกันไมเกรน
■ ยาปิดกั้น Calcium channel blockers
จะป้องกันมิให้แคลเซี่ยมผ่านเข้า
เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ และหลอดเลือด
ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดขยายเลือด
ไปเลี้ยงหัวใจมากขึ้น ลดความดันโลหิต
■ ยาปิดกั้น
Angiotensin II receptor blockers (ARBs)
ยากลุ่มนี้จะ(ลดความดันโลหิตสูงระดับปานกลาง)
รักษาโรคหัวใจวายการออกฤทธิ์จะคล้ายกับ
ยาในกลุ่ม ACE inhibitors แต่กลไกต่างกัน
👉🏿ยารักษาหัวใจเต้นผิดปกติ
ยาในกลุ่มนี้จะรักษา(หัวใจเต้นผิดปกติ)
ซึ่งอาจจะเกิดจากกล้ามเนื้อของหัวใจ
หรือเกิดจากระบบไฟฟ้าของหัวใจ
■ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
Anticoagulants
ผู้ป่วยที่มีหัวใจเต้นสั่นพริ้ว หรือมีลิ่มเลือด
ที่ขา หรือมีโรคลิ้นหัวใจผิดปกติจะมี
โอกาศเกิดลิ่มเลือดซึ่งอาจจะลอยไปอุด
อวัยวะที่สำคัญจึงจำเป็นต้องได้รับยา
ต้านการแข็งตัวของเลือด
■ ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)
ผู้ป่วยที่มี (โรคหัวใจวาย ความดันโลหิตสูง)
หรือ(โรคไต)มักจะมีการคั่งของน้ำและ
เกลือแร่ในร่างกาย หากคั่งไม่มากก็
จะเกิดอาการบวมที่เท้าซึ่งมักจะเกิดตอน
สายๆของวัน หากเกิดการคั่งมากและ
หัวใจทำงานไม่ไหวก็จะเกิดภาวะน้ำท่วม
ปอดหรือภาวะหัวใจล้มเหลว การรักษา
จะต้องใช้ยาขับปัสสาวะขับน้ำและ
เกลือแร่ส่วนเกินออกจากร่างกาย
■ ยาขยายหลอดเลือด Nitroglycering
ยากลุ่ม Nitrates ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือด
ใช้อมใต้ลิ้น เพื่อบรรเทาอาการแน่หน้าอก
จาก (โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด)
(รักษาภาวะหัวใจวาย และลดความดันโลหิต)
■ ยาลดไขมัน
ไขมัน Cholesterol และ Triglyceride
จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้หลอดเลือดตีบ
■ ยาต้านเกล็ดเลือด Aspirin Clopidogrel
ยาต้านเกล็ดเลือดเพื่อป้องกันมิให้
เกล็ดเลือดเกาะที่ผนังหลอดเลือด
■ Digitalis
ยา Digoxin จะทำให้หัวใจเต้นช้า
รักษาหัวใจเต้นผิดปกติ และ หัวใจวาย
■ Myocardium Oxygen
Consumption (MVO2) คือ
ปริมาณของ oxygen ที่จะจ่ายให้กล้าม
เนื้อหัวใจจะต้องสมดุลกับความต้องการ
การใช้ oxygen ของกล้ามเนื้อหัวใจ
หรือ myocardium oxygen
consumption ต้องให้พอกับความ
ต้องการทางด้านเมตาบอลิสึม
ของกล้ามเนื้อหัวใจ
□ การคงไว้ซึ่งระบบหมุนเวียนที่ดีเป็น
สิ่งสำคัญมาก หัวใจต้องทำหน้าที่เพื่อ
สูบฉีดเลือดนำอาหารและ oxygen
ไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายตลอดเวลา
และจะต้องทำงานเพิ่มมากขึ้นเมื่อเพิ่ม
activity มากขึ้นเช่น การออกกำลังกาย
ในคนปกติต้องการ balance กัน
ระหว่าง supply และ demand
ถ้า demand มากกว่า supply จะทำให้
Ischemia(ขาดเลือด) เกิดขึ้น
ทำให้ myocardial relaxation
และ contraction แย่ลง
มีความผิดปกติของกระแสไฟฟาหัวใจ
เช่น ST segment ยกขึ้น
หรือมี arrhythmia Supply Demand
Coronary artery anatomy
Diastolic pressure
Diastolic time Oxygen Extraction
• HBG • PaO2 MVO2
Heart rate Afterload
Preload Contraction
Oxygen Demand
การรักษาสภาพของ cell membrane
และ electrical activity ของหัวใจ
และการใช้พลังงานจำนวนมาก จะเกิดขึ้น
ในระหว่าง muscle contraction
พลังงานถูกใช้ทั้งขบวนการ contraction
และการหดตัวของ muscle fibers
แต่อย่างไรก็ตามพลังงานทั้งหมด
ใช้ไปในการก่อให้เกิด
tension (pressure)
ดังนั้นตัวกำหนดที่สําคัญของ
myocardial oxygen consumption
(MVO2)
คือ ปริมาณ tension
ที่เกิดขึ้นที่ผนัง myocardium
ซึ่งจะมีผลกับ aortic pressure
และ volume ของเลือดใน ventricle
(wall diameter ของ ventricle)
● ตัวกำหนดอีกประการหนึ่ง คือ heart rate
ในขณะที่หัวใจหดรัดตัวจะใช้ oxygen จํานวนมาก
การเพิ่มของแรงในขณะที่หัวใจหดรัดตัว
เพื่อใหได diastolic fiber length
(contractile state) จะเพิ่ม
MVO2 มียาบางตัวที่เพิ่ม contractility
จะมีผลใหเพิ่ม
myocardial oxygen consumption เชน
beta-adrenergic , calcium , digitalis เปนตน
สําหรับ dynamic physical exercise เชน
การวิ่งจะเพิ่ม heart rate
รวมถึง contractility และ arterial pressure
ซึ่งผลทั้งหมดทำใหเพิ่ม MVO2
● องคประกอบที่มีผลต่อความต้องการใช้ oxygen
ของกล้ามเนื้อหัวใจ
1 Heart rate เมื่อหัวใจเตนเร็วและแรง
จะมีการใช้ oxygen ในการเผาผลาญมากขึ้น
เชน ขณะออกกําลงกาย
2 การหดรัดตัวของหัวใจ (contractile state)
ในระยะที่หัวใจมีการบีบตัว myocardium
ตองใช้ oxygen เปนจํานวนมาก
เพื่อใหไดพลังงานในการที่จะทำใหกลามเนื้อหดตัว
3 Myocardium wall tension หมายถึง
แรงดันที่เกิดขึ้นในผนังของ myocardium
ซึ่งจะมีความสัมพันธ กับ volume ใน ventricle
หมายถึง Preload
ถาหัวใจบีบตัวได้แรงดันจะได้ stroke volume
ที่มาก ซึ่งหมายถึง กลามเนื้อหัวใจต้องใช้
oxygen มากขึ้นดวย
4 Oxegen Supply
หัวใจของคนปกติจะพยายามรักษาสมดุลระหว่าง
oxygen demand และ supply
ของหลอดเลือด coronary
กลามเนื้อห้วใจจะพยายามดึงเอา oxygen
ให้มากที่สุดจากเลือดที่ไหลมาเลี้ยง
ซึ่งสามารถดึงได้ 70% ใกลเคียงคา maximum
ทั้งนื้การดึงเอา oxygen มาใชไดดีเพียงใดนั้นขึ้นกับ
blood flow
ซึ่งหมายถึง coronary blood flow
ตองเพิ่มขึ้นเพื่อใหไดถึง oxygen demand
● องคประกอบที่สําคัญที่มีผลตอ oxygen supply คือ
1. สิ่งที่มีผลตอ coronary blood flow เชน
contractility
2. ความดันใน ventricle
ในระยะ diastole (คือ LVEDP)
3. ระยะเวลาที่หัวใจคลายตัว
เลือดจะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไดทั่วถึง
ถ้าระยะ diastole นาน
4. ความสามารถในการดึงเอา oxygen มาใช้
ซึ่ง Haemoglobin (Hgb)
จะเปนตัวนํา oxygen ไปให้ cell ใช้
การลดของ aortic diastolic pressure เชน
ภาวะ shock หรือการเพิ่มใน
ventricle diastolic pressure
เชน heart rate จะลด driving pressure
ดังนั้นจะมีผลตอ coronary blood flow
ปจจัยอื่นๆที่มีผลตอ coronary flow คือ
ระยะเวลาของ diastole
ซึ่งจะตรงกันขามกับ heart
ฉะนั้น total coronary blood flow จะลดลง
ถ้ามี tachycardia ซึ่งจะใชเพิ่ม MVO2 และ
อาจจะลด coronary blood flow
และ oxygen supply ในเวลาเดียวกัน
□ ปัจจยที่มีผลต่อการทำงานของหัวใจ
และส่งผลต่อปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ
ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
มักจะพบภายหลังจากที่เกิดอาการ
Ischemia
หัวใจต้องทำงานมากขึ้นเพื่อพยายาม
ให้ได้ cardiac output ที่เพียงพอทําให้
oxygen demand เพิ่มขึ้น
◆ การที่ ventricular บีบตัวได้ไม่ดี
1 ทำให้ได้ cardiac output น้อยลง
2 ทำให้ aortic root pressure ลดลง
3 coronary perfusion จะลดลงด้วย
¤ การรักษาที่ได้ผลสำหรับผู้ป่วยที่มี
left ventricle power failure
รวมถึงการลด myocardial oxygen
demand
มีองค์ประกอบที่สําคัญ คือ
1. Afterload
2. Preload
3. Contractility
4. Heart rate