Skip to main content

หลอดเลือดกับหัวใจ

   หลอดเลือดกับหัวใจ
จัดเตรียม​โดย​ วิวัฒน์​ วัฒนาโสภณ
      
    เวลาที่เราไปหาหมอเราจะต้องได้รับการวัด​ ความดันเลือดและชีพจรก่อนเข้าพบแพทย์​ ค่าความดันปกติจะอยู่ที่​  (110-120)/(70-80)​
mm/Hg​ หรือ​ บน/ล่าง​ ​ ค่าตัวบนเกิดจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจทำให้​หัวใจห้องซ้ายล่าง Left Ventricle ส่งเลือดแดงที่เต็มไปด้วยสารอาหารและออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆเพื่อ​รักษา​ให้​เซลล์​มี​    ชีวิต​อยู่ต่อโดยผ่าน​ไปยังเส้น​ เลือดแดงใหญ่ที่เรียกว่า​ Aorta​ ​แล้วส่งต่อไปยัง​ หลอดเลือดแดงใหญ่​Artery​ไหลผ่านหลอดเลือด​​ Arterioles จากนั้นส่งต่อเส้นเลือดแดงฝอย capillaries เลือดณ.บริเวณนี้​จะอุดมไปด้วย​   อาหารและออกซิเจนใช้แลกเปลี่ยน​กับเซลล์, ​ ​เนื้อเยื่อ​แล้วไหลกลับ​สู่​ หลอดเลือดดำ​ vein แล้วไหลต่อไปยัง​ หลอดเลือดดำใหญ่ Vena Cava จากนั้น เข้าสู่หัวใจห้องขวาบนไหลลงสู่ห้องขวาล่างแล้วส่งออกไปยังปอดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์หัวใจห้องบนซ้ายจะรับเลือดที่ได้รับออกซิเจนจากปอดส่งผ่านให้หัวใจห้องล่างซ้าย
ส่วนค่าตัวล่างเป็นความดัน​ในขณะที่​กล้ามเนื้อ
​หัว​ใจ​หยุดการบีบ​เป็นระยะคลายตัวช่วงนี้​แหละ​ครับ​ เลือดไหลย้อน​กลับ​มายังเส้น​เลือด​แดงใหญ่​ Aorta​ ผ่านไปตามหลอดเลือดหัวใจ​ coronary artery​ (เส้นเลือดแดงบนรูปหัวใจ)​ เพื่อ​ให้เลือด​ไปหล่อเลี้ยง​กล้ามเนื้อ​หัวใจ​ การขาดออกซิเจนเป็นผลให้หลอดเลือดเสื่อมเร็ว​  และสามารถกระตุ้นให้เกิด ลิ่มเลือดอุดตันได้ง่าย
นอกจากการวัดค่าจากความดันแล้วยังมีวิธีวัดค่า​ ประสิทธิภาพ​ของหัวใจและหลอดเลือดโดยการใช้
Echocadiography  
 ซึ่ง​เป็นเครื่องตรวจหัวใจคลื่นเสียงความถี่สูง สามารถหาค่า​  Ejaction Fraction ได้​ บ่งบอก
ถึงความสามารถ​ในการ​บีบเลือดของหัวใจ​
ค่า​ปกติของ​ EF ประมาณ 50​ -70​ %
คนที่มีโรคหัวใจค่า Ejaction Fraction
จะต่ำลง​ เช่น​ 30​ -​ 40​ %  แสดงว่ามีอาการมาก
​EF คือ​(ปริมาณเลือดที่ถูก​บีบออก​จาก​หัวใจ)​ ต่อ
(ปริมาณเลือดในหัวใจ​ก่อนบีบในแต่ละครั้ง​)
ภาวะหัวใจล้มเหลว ก็คือหัวใจวายเป็น
   ภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือด
  ไปเลี้ยงร่างกายทำให้  
👉​ หัวใจห้องซ้ายวาย​  :
  จะมีอาการน้ำท่วมปอด Pulmonary edma    เกิดภาย​หลังจาก​ หลอดเลือดหัวใจตีบ หรือ
อาจค่อยๆเกิด​เช่น​กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม​ลง​
หรือ​
  ภาวะ​ที่หัวใจ​ไม่สามารถรับเลือดกลับ​           
เข้าสู่หัวใจได้ตามปกติ​ ทำให้
👉​ หัวใจห้องขวาวาย​ :
  มีอาการบวมจากภาวะคั่งน้ำและเกลือ
เนื่องจากไตได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยลง​
 เช่น​ ที่เท้าและขามีลักษณะบวม
   อาการของภาวะหัวใจล้มเหลว :
   -​ อาการหายใจเหนื่อย และ​ อ่อนเพลีย
     เป็นอาการสำคัญของภาวะหัวใจล้มเหลว
     เกิดจากการที่มีเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ
     ต่างๆ ของร่างกายลดลง
     เพราะเนื้อเยื้อขาด O2 และ สารอาหาร
หลอดเลือดหัวใจตีบ -:
   การสะสมลิ่มเลือดและหินปูนในหลอดเลือด     มีเลือดไหลผ่านไปได้น้อยจึงเป็นเหตุให้เกิด​    ความไม่สมดุลระหว่างความต้องการออกซิเจน​    ของกล้ามเนื้อหัวใจกับประสิทธิภาพของ​ หลอดเลือดแคบๆนี้​  
หัวใจขาดเลือดคืออะไร -:
   เมื่อหัวใจได้รับเลือดที่มีออกซิเจน​ไม่เพียงพอ จะเกิดการกระตุกในหลอดเลือดหัว​ใจได้และจะทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ที่เรียกว่า​ หัวใจขาดเลือด (Angina)  เป็นการเตือนว่า
หัวใจต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาการที่แสดงถึงหัวใจขาดเลือด
   ของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป เช่น
   เจ็บ ปวด หรือรู้สึกไม่สบาย
   แน่นท้อง
   เป็นตะคริว, ชา
   หายใจลำบาก​, แน่นหน้าอก
   ร้อน, เหงื่อแตก
   วิงเวียนศีรษะ
   ◆ อาการดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ทั้ง​       
  ในบริเวณ​ หน้าอก ไหล่ หลังส่วนบน
แขน คอ ในลำคอหรือกรามเป็นต้น​  
และอาจเกิดขึ้น​ ในช่วงเวลาที่
รู้สึกเครียด ขณะที่ใช้แรงมากในการทำ
กิจกรรม​ หรือหลังมื้ออาหารหนักๆ    
อย่าละเลยโรคหัวใจขาดเลือด
(การพักผ่อนและการรักษาด้วยาเป็นวิธีที่ช่วย​    ลดอาการหัวใจขาดเลือดอย่างได้ผล)
Functional classification
  1. ไม่ออกอาการ
  2. มีอาการเล็กน้อย​ ออกแรงมากจะหายใจ​ลำบาก
  3. มีอาการพอสมควร​ ออก​แรงไม่มากก็เหนื่อย
  4. มี​อาการมาก
กล้ามเนื้อหัวใจของท่าน
รักษาตัวเองได้อย่างไร -:(สำคัญ)   
กล้ามเนื้อหัวใจในส่วนที่ไม่ได้รับออกซิเจนอาจจะถูกทำลายอย่างถาวร(กำลังในการส่งเลือดจะลด​ น้อยลง)​การทำลายที่มีต่อกล้ามเนื้อหัวใจเกิดขึ้น​ เมื่อเซลล์ต่างๆในหัวใจอยู่ในภาวะขาดออกซิเจน    เซลล์เหล่านี้จึงตาย และเกิดเป็นเยื่อพังผึดขึ้น
ในบริเวณกล้ามเนื้อหัวใจที่ถูกทำลายอาจ
จะได้รับการรักษาด้วยกลไกของร่างกาย โดยมีการสร้างหลอดเลือด​แดงฝอยเส้นใหม่
เพื่อช่วยหล่อเลี้ยง​บริเวณรอบๆเนื้อเยื่อพังผืด​
ที่​ถูกทำลาย นับตั้งแต่วันที่มีอาการหัวใจวายแล้ว
เนื้อเยื่อพังพืดจะเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ ใน 3-4 สัปดาห์ และก่อตัวเป็นเนื้อเยื่อพังพืดถาวรได้เหมือนเดิม​ ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 6 ถึง 3 เดือน    
การหมุนเวียนของโลหิตแบบใหม่
  รอบบริเวณที่ถูกทำลายนี้เรียกว่า
   collateral circulation    
  การออกกำลังกายแบบแอโรบิกจะช่วยสร้าง​     ทางเดินโลหิตแบบใหม่นี้
  ◆ การพักผ่อนและ
  ◆ การเพิ่มการทำกิจกรรม ทีละเล็กทีละน้อย
     เป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จ    
     การออกกำลังกายแบบแอโรบิก
    จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง
     และช่วยให้การสูบฉีดโลหิตเป็นไปได้
      อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การออกกำลังกายความดัน​ตัวล่างบอกอะไร​?
สำหรับคนปกติการออกกำลัง​กาย
​ความดัน​ตัว​ล่าง​ diastolic pressure
อาจลดลง​เล็กน้อย​ประมาณ​ไม่​เกิน​ 4  mm Hg
​สืบเนื่อง​จาก​การ​ขยายตัว​ของ​เส้นเลือด
​ซึ่งจำเป็นต่อการทำให้เลือด​ไหลย้อน​กลับสู่​ ​กล้ามเนื้อหัวใจ​เมื่อมีการออกกำลัง​กาย
​แต่ถ้าในขณะ​อ​อกกำลัง​กายแล้วความดัน
​ตัว​ล่าง​ ​เพิ่มขึ้น​มากกว่า​ 15​ mm​Hg​ แล้ว
แสดงว่าเกิดจากสาเหตุของ​หลอดเลือด​แดง​
ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้
ประวัติในครอบครัว
หากมีประวัติของพ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือพี่น้อง​
เป็นโรคหัวใจท่านก็มีโอกาสมากที่จะหัวใจวาย
และรูปแบบการใช้ชีวิตในแต่ละวันก็จัดอยู่
ในปัจจัยเดียวกัน​กับเรื่องพันธุกรรม
อายุ 55 ปีขึ้นไป
  โรคหลอดเลือดหัวใจมีความเกี่ยวเนื่องกับ​    อายุที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
ยิ่งมีอายุมากขึ้นเท่าไรก็มีโอกาสเกิดไขมัน
ในผนังหลอดเลือดมากขึ้นเท่านั้นครับ
แหล่ง​ข้อมูล​:

การวัดและติดตามคลื่นไฟฟ้ าหัวใจ (ecg)​  :
Electrocardiogram  : 61
การวัดความดันโลหิตจากภายนอก :
Non-invasive blood pressure (NIBP)  :
92, 44 Mean Arterial Pressure  57
การวัดความดันโลหิตจากหลอดเลือดแดงโดยตรง : Invasive​ blood pressure (IBP)
perfusion pressure ของอวัยวะในร่างกาย
   เชื่อว่า MAP ที่มากกว่า 60  mmHg จะเพียงพอที่จะทำให้เลือดใหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะต่าง เช่น สมอง ไต เส้นเลือดแดงโคโรนารี ได้อย่างต่อเนื่องเพียงพอ แต่ถ้าต่ำลงจะทำให้อวัยวะนั้นๆ ขาดเลือดได้         สูตรการคำนวนคือ [(2xdiastolic)+systolic]/3
ที่มาของสูตรคือ การบีบตัวและคลายตัวของหัวใจจะเป็นสัดส่วนระยะเวลาที่ไม่เท่ากัน โดยช่วงเวลาที่หัวใจใช้ในการบีบตัวจะกินเวลาแค่ 1 ใน 3 ในขณะที่ช่วงที่หัวใจคลายตัวจะกินระยะเวลาที่ยาวมากกว่า คือคิดเป็น ⅔  ได้ออกมาเป็นสูตร (2xDBP)+(1xSBP) /3 = [(2xdiastolic)+systolic]/3
ค่าปกติบางอ้างอิงใช้ที่ 70-110 mmHg บางอ้างอิงใช้ที่ 70 - 100 mm Hg​ (และส่วนใหญ่ค่อนข้างตรงกันโดยบอกว่า ค่าที่มากกว่า 60  mmHg จะเพียงพอต่อการนำเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาในข้างต้น)
การวัดระดับความอิ่มตัวออกซิเจนของฮีโมโกลบินจากชีพจร​ SpO2​ :  97

ค่าปกติอยู่ที่ 98-99%  หากวัด SPO2 ได้น้อยกว่า 90% จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพราะอาจทำให้ cell และสมอง ได้รับก๊าซออกซิเจนไม่เพียงพอ ซึ่งมีผลอาจทำให้ cell สมองตายได้
อัตราการหายใจ :  Respiration​ : 18
ปกติ​ : 12​ -​ 18  ครั้ง/นาที


อัตราการหายใจจะสูงขึ้นเมื่อ มีไข้ ภาวะขาดน้ำ ภาวะขาดสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย โรคของปอด หรือ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น